ปฏิจจสมุปบาท
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ ! ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง สุดจะคาดคะเนได้ ก็เพราะไม่รู้ปฏิจจสมุปบาทนี้ หมู่สัตว์จึงยุ่งเหมือนขอดด้ายของช่างหูก เป็นปมนุ่งนัง เหมือนกระจุกหญ้ามุ่งกระต่าย และหญ้าปล้อง ไม่ข้ามพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสงสาร
ปฏิจจสมุปบาท เป็นกฎแห่งความเป็นเหตุผลของกัน และกัน
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะจึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ จึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ
ทุกขะโทมนัส อุปายาสะ จึงมี
** ความเกิดแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ มีได้ ด้วยประการฉะนี้ **
อานนท์ ! เหตุ ต้นเหตุ เหตุเกิด และปัจจัยแห่งตัณหาคือ เวทนา
ด้วยเหตุนี้แล
เพราะอาศัยเวทนา ตัณหาจึงมี
เพราะอาศัยเวทนา ปริเยสนะ(การแสวงหา)จึงมี
เพราะอาศัยปริเยสนะ ลาภะ(การได้)จึงมี
เพราะอาศัยลาภะ วินิจฉยะ(การกำหนด)จึงมี
เพราะอาศัยวินิจฉยะ ฉันทราคะ(ความกำหนัดด้วยอำนาจ
ความพอใจ)จึงมี
เพราะอาศัยฉันทราคะ อัชโฌสานะ ( ความหมกมุ่นฝังใจ) จึงมี
เพราะอาศัยอัชโฌสานะ ปริคคหะ(การยึดถือครอบครอง) จึงมี
เพราะอาศัยปริคคหะ มัจฉริยะ(ความตระหนี่) จึงมี
เพราะอาศัยมัจฉริยะ อารักขะ(ความหวงกั้น) จึงมี
เพราะอาศัยอารักขะ บาปอกุศลเป็นอเนกย่อมเกิดขึ้นจากการ
ถือท่อนไม้ การถือศัสตรา การทะเลาะ
การแก่งแย่งการวิวาท การพูดขึ้นเสียงว่า
มึง มึง การพูดส่อเสียด การพูดเท็จ จึงมี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น