วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

การละลูกศร และกำจัดโทษอันเป็นพิษ


การละลูกศร และกำจัดโทษอันเป็นพิษ

ภิกษุทั้งหลาย ! เราละลูกศร คือ ตัณหา ได้แล้ว กำจัดโทษอันเป็นพิษ คือ อวิชชา ( ซึ่งงอกงามได้ด้วย ฉันทราคะ และพยาบาท ) ได้แล้ว จึงน้อมใจไปในนิพพานโดยชอบ

การเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รับรู้ธรรมารมณ์ อัน ไม่เป็นสัปปายะ(สบาย,เหมาะสม,เกื้อกูล) เนือง ๆ ราคะย่อมครอบงำจิตได้ และเมื่อจิตถูกราคะครอบงำ พึงถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย เปรียบเหมือนคนกินของแสลงอันไม่เป็นสัปปายะเนือง ๆ หรือไม่รักษาบาดแผลที่ยังไม่หายสนิทการทำกิเลสไม่ให้กลับมากำเริบอีก

เมื่อพิจารณาเห็นว่าตน ละลูกศร คือ ตัณหาได้แล้ว กำจัดโทษอันเป็นพิษ คือ อวิชชา น้อมจิตไปในนิพพานอันชอบแล้ว พึงหลีกเลี่ยง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รับรู้ธรรมารมณ์ อันไม่เป็นสัปปายะเสีย มิฉะนั้น ราคะย่อมครอบงำจิตได้ และเมื่อจิตถูกราคะครอบงำจิต พึงถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย

การไม่ประกอบเนือง ๆ ในอารมณ์อันไม่เป็นสัปปายะ ด้วยการเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะสัมผัส และรับรู้ธรรมารมณ์ อันไม่เป็นสัปปายะ ราคะก็ครอบงำจิตไม่ได้

(สัปปายะ คือ การเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และรับรู้ธรรมารมณ์ อันเป็นที่สบายส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เจริญก้าวหน้า)





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น