วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

ผู้พ้นโลก



ผู้พ้นโลก

ผู้พ้นโลก คือ พระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น ๔ จำพวก ได้แก่
๑. พระโสดาบัน (เกิดเป็นมนุษย์อีกอย่างมาก ๗ ชาติ อย่างกลางหรือ ๓ ชาติ อย่างน้อยอีก ๑ ชาติก็ จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ )
๒. พระสกทาคามี (เกิดในโลกมนุษย์หรือสวรรค์อีก ๑ ชาติจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์)
๓. พระอนาคามี (จุติในพรหมโลกชั้นสุทธาวาส และปรินิพพานในพรหมโลกนั้น)
๔. พระอรหันต์ (หมดสิ้นกิเลส อันเป็นเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสาร)

พระโสดาบัน คือ ผู้โผล่ขึ้นแล้วจากกองกิเลสเห็นแจ่มแจ้งในธรรม คือ ผู้เข้าสู่กระแสธรรม(พระนิพพาน) เป็นอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา มีความเห็น ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไม่เห็นผิดเป็นชอบ จะไม่ลงไปเกิดในอบายภูมิ คือ นรก เปรต อสุรกาย และเดียรฉานอีก และจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในที่สุด แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้
๑. พระโสดาบันสัตตักขัตตุงปรมะ จะเวียนว่ายตายเกิดในเทวโลก และมนุษยโลก อย่างมาก ๗ ชาติ
๒. พระโสดาบันโกลังโกละ จะเวียนว่ายตายเกิดใน เทวโลก และมนุษยโลก อย่างมาก ๒-๓ ชาติ
๓. พระโสดาบันเอกพีชี จะเวียนว่ายตายเกิดใน เทวโลก และมนุษยโลก อย่างน้อย ๑ ชาติ
พระโสดาบัน สามารถตัด สังโยชน์ (คือกิเลสผูกสัตว์ไว้กับภพมี ๑๐ ประการ) ได้ ๓ ประการ ได้แก่
๑. สักกายทิฏฐิ คือ มีความเห็นว่าขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ (ได้แก่ รูป (ร่างกาย) นาม (จิตใจ) เป็นตัวเป็นตน เป็นของของตน
๒ วิจิกิจฉา คือ มีความลังเล สงสัย ไม่แน่ใจ ในคุณของพระพุทธเจ้า ในคุณของพระธรรม และในคุณของพระอริยสงฆ์
๓ สีลัพพตปรามาส คือ การลูกคลำศีลเล่น การยึดมั่นในศีลพรต มีการประพฤติปฏิบัติตามกันมาอย่างงมงาย อย่างขาดเหตุผล ด้วยเห็นว่าเป็นของขลัง เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้รักษาศีลเพื่อการละกิเลส

พระสกทาคามี คือ ผู้โผล่ขึ้นแล้วว่ายเข้าหาฝั่ง เป็นพระอริยบุคคลเป็นผู้สามารถตัดกิเลส คือสังโยชน์ ๓ ประการ ได้เช่นเดียวกับพระโสดาบัน แต่มีกิเลส คือ ราคะ(ความกำหนัดยินดีในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) โทสะ(ความโกรธ) และโมหะ(ความหลง) เบาบางกว่าพระโสดาบัน จะเวียนว่ายตายเกิดในเทวโลก หรือมนุษยโลกอีกชาติเดียว ก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์

พระอนาคามี คือ ผู้โผล่ขึ้นแล้วไปถึงที่ตื้นหยั่งพื้นทะเลได้ เป็นพระอริยบุคคล ผู้ไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก เมื่อละสังขารแล้วก็จะไปจุติที่ พรหมโลกชั้นสุทธาวาส และปรินิพพานที่พรหมโลกนั้น พระอนาคามีสามารถละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ครบทั้ง ๕ ข้อ มากกว่าพระโสดาบัน และพระสกทาคามี อีก ๒ ข้อ ได้แก่ ข้อที่ ๔ และ ๕ คือ
๔. กามราคะ คือ ความกำหนัดยินดี หรือติดใจในกามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่น่ารัก น่าใคร่ น่าปรารถนา
๕. ปฏิฆะ คือ ความหงุดหงิด ขัดเคืองใจ เกิดจากความกระทบกระทั่งใจแต่เบากว่าโทสะ

พระอรหันต์ คือ ผู้โผล่ขึ้นแล้วข้ามฝั่งได้ ยืนอยู่บนบกได้ เป็นพระอริยบุคคลในระดับสูงสุดในพระพุทธศาสนา ผู้ดับเพลิงกิเลสซึ่งเป็นเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้หมดโดยสิ้นเชิง เมื่อละสังขารแล้ว ก็เข้าสู่พระนิพพาน พระอรหันต์สามารถละสังโยชน์เบื้องสูงได้ครบหมดทั้ง ๑๐ ข้อ เพิ่มจากพระอนาคามีอีก ๕ ข้อ ได้แก่ ข้อที่ ๖ ๑๐ คือ
๖. รูปราคะ คือ ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือรูปธรรมอันประณีต (คือรูปพรหมมี ๑๖ชั้น )

๗. อรูปราคะ คือ ความติดใจในอารมณ์แห่ง อรูปฌาน หรืออรูปธรรม มีความปรารถนาในอรูปภพ (คืออรูปพรหมมี ๔ ชั้น)

๘. มานะ คือ ความสำคัญตนว่าตนเป็นนั่น เป็นนี่ เช่น เลิศกว่าเขาสำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา เลิศกว่าเขาสำคัญตนว่าเสมอกว่าเขา เลิศกว่าเขาสำคัญตนว่าด้อยกว่าเขา, เสมอเขาสำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา เสมอเขาสำคัญตนว่าเสมอกว่าเขา เสมอเขาสำคัญตนว่าด้อยกว่าเขา, ด้อยกว่าเขาสำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา ด้อยกว่าเขาสำคัญตนว่าเสมอกว่าเขา ด้อยกว่าเขาสำคัญตนว่าด้อยกว่าเขา

๙. อุทธัจจะ คือ ความคิดฟุ้งซ่านในทางกุศลกรรม ยังมีการพิจารณาธรรมเพื่อละกิเลส

๑๐. อวิชชา คือ ความไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริงใน หลักธรรมอริยสัจ ๔ (ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นเรื่องของเหตุ และผล) ไตรลักษณ์ ลักษณะ ๓ ประการของสังขารธรรมทั้งหลาย คือ อนิจจัง(ความเป็นของไม่เที่ยง) ทุกขัง(ความเป็นทุกข์, ทนได้ยาก) อนัตตา(ความเป็นของไม่ใช่ตน) และปฎิจจสมุปบาท (การที่ธรรมทั้งหลายหรือสิ่งทั้งปวงที่อาศัยกันละกัน จึงเกิดมีขึ้น)

(สังโยชน์ ๑๐ คือ กิเลสอันผูกใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ หรือผูกกรรมไว้กับภพ

จาก..พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น