การละลูกศร
และกำจัดโทษอันเป็นพิษ
ภิกษุทั้งหลาย
! เราละลูกศร
คือ ตัณหา
ได้แล้ว กำจัดโทษอันเป็นพิษ คือ อวิชชา ( ซึ่งงอกงามได้ด้วย ฉันทราคะ และพยาบาท )
ได้แล้ว จึงน้อมใจไปในนิพพานโดยชอบ
การเสพรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รับรู้ธรรมารมณ์ อัน ไม่เป็นสัปปายะ(สบาย,เหมาะสม,เกื้อกูล) เนือง ๆ ราคะย่อมครอบงำจิตได้ และเมื่อจิตถูกราคะครอบงำ
พึงถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย เปรียบเหมือนคนกินของแสลงอันไม่เป็นสัปปายะเนือง ๆ
หรือไม่รักษาบาดแผลที่ยังไม่หายสนิทการทำกิเลสไม่ให้กลับมากำเริบอีก
เมื่อพิจารณาเห็นว่าตน
ละลูกศร คือ ตัณหาได้แล้ว กำจัดโทษอันเป็นพิษ คือ อวิชชา น้อมจิตไปในนิพพานอันชอบแล้ว พึงหลีกเลี่ยง “ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รับรู้ธรรมารมณ์ ”อันไม่เป็นสัปปายะเสีย มิฉะนั้น ราคะย่อมครอบงำจิตได้
และเมื่อจิตถูกราคะครอบงำจิต พึงถึงความตาย หรือทุกข์ปางตาย
การไม่ประกอบเนือง
ๆ ในอารมณ์อันไม่เป็นสัปปายะ ด้วยการเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะสัมผัส
และรับรู้ธรรมารมณ์ อันไม่เป็นสัปปายะ ราคะก็ครอบงำจิตไม่ได้
(สัปปายะ คือ การเสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และรับรู้ธรรมารมณ์
อันเป็นที่สบายส่งเสริมการประพฤติปฏิบัติธรรมให้เจริญก้าวหน้า)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น